“เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่เงินก็สามารถซื้อทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้บนโลกนี้”
เพียง แต่ว่า เงินก้อนนั้น ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร เรามักจะพูดกันว่า ถ้ามีเงินเป็นล้านจะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาท นับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน , ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ, ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1 ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย
ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา
1.เป็นเจ้าของกิจการ
ใครๆ ก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่ จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่ จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70% และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปี ได้เพียง 3-5% เท่านั้น แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่ ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร
สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
ยอดขาย - ต้นทุนคงที่ - ต้นทุนแปรผัน = กำไร
เพื่อทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่นธุรกิจหนึ่งหากมี ยอดขายต่อเดือนที่ 1 ล้านบาท จะมีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจจะมีกำไรเขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ถ้ายอดขายต่ำกว่า 1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 1.5เท่าของเดิมซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท
แต่ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท - 1,400,000 = 1,600,000บาท
ใน ทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ500,000 - 900,000 = -400,000 บาท
ตัว เลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้ และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง
หากสร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงินสด 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้
ปัจจุบัน พบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะอยู่ในกรอบอยู่ในเกณฑ์
แต่ ถ้าใช้วิธีสร้างข่าวสร้างภาพให้หุ้นตัวเอง ด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน ,ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝันแล้วขายออก เป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง
คน ขายรับเงินล่วงหน้าในอนาคตของประมาณการ ยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม (GOOD WILL) ต่างๆที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทนว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์ ขายฝันให้หรือเปล่า
2.เป็นผู้บริหารระดับสูง
สมัย ก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจนจบด๊อกเตอร์ สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับเงินเดือน 80,000 - 100,000 บาท แต่ไม่รวย
สมัย นี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ
รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร
บริษัทใหญ่ๆระดับประเทศ การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 200,000 - 500,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบอร์ดของบริษัทในเครืออีกสัก 4-5 แห่ง รับเบี้ยประชุมเพิ่มอีกแห่งละ 300,000 - 1,000,000 บาทต่อปีก็มีให้เห็นมากมาย
บางบริษัทใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรตามยอดขาย หากว่าทำได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ช่วง เศรษฐกิจรุ่งเรือง บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายใหม่สูงสุด ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกันหลายคนได้โบนัสถึง 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน
อีกช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ผู้บริหารคือ (ESOP / EMPLOYEESTOCK OPTIONPLAN) ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เพื่อจูงใจให้เร่งสร้างกำไร ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า 70% มักมอบให้กับผู้บริหาร 5-6 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10 ล้านหุ้น
ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไรจนทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาสิทธิ 5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะมีกำไรคนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้
3.เป็นนักขายตรง
คน ไทยมักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานมาจากขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน
งาน ขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30%ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ ยกเว้นงานขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก
ส่วน ผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30%ของค่านายหน้าของลูกทีมซึ่งน่าจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม ลองนึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้า จะสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน
4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ
เราคงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความผู้เชี่ยวชาญ ,สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5-10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาได้ตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา
5.เป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด
ถึงแม้เราจะเป็นคนธรรมดา มีอาชีพแค่เป็นลูกจ้าง เป็นคนกินเงินเดือน เราก็สามารถเป็นเศรษฐีได้เหมือนกันถ้าเราเก็บเงินเก่ง รู้จักช่องทางลงทุน และลงทุนได้อย่างชาญฉลาด สมมติว่าเราเก็บเงินได้เดือนละ10,000 บาท ปีละ 120,000 บาทเก็บได้ทุกปีอย่างต่อเนื่อง แล้วเรานำเงินนี้ไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมชนิดต่างๆ หากคุณสามารถทำกำไรได้เฉลี่ยปีละ 15 % ผ่านไป 20 ปีเงินของคุณจะงอกเงยมาเป็น 14 ล้านบาท
แต่ถ้าคุณสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนถึงปีละ 20 % อีก 20ปีข้างหน้า เงินของคุณจะกลายเป็นเงิน 27 ล้านบาท ถึงตอนนั้น คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีเหมือนกับเขา
ที่เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย แต่ คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ
ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณเหมือนกัน
Monday, January 23, 2012
//
Labels:
เก็บเงินให้รวย เป็นล้าน
//
0
comments
//
ความรู้เรื่องเงินออม
เงินออม หมายถึง ส่วนของรายได้ที่เหลืออยู่ หรือที่กันเอาไว้ไม่นำมาใช้จ่ายในการบริโภคอุปโภคในขณะปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามเจ็บป่วย เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นหรือเมื่อแก่ชรา หรือเพื่อใช้จ่ายในกิจการ อื่นใดที่สมควร ส่วนของรายได้ทั้งหมดที่ไม่ได้นำมาใช้จ่ายและเก็บเอาไว้ก็นับเป็นเงินออมได้ ทั้งหมด แต่ถ้าพูดถึงเงินออมในลักษณะที่เก็บเอาไว้ เฉย ๆ จะไม่ใช่เงินออมในความหมายทางเศรษฐศาสตร์
เงินออมทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ส่วนของรายได้ที่มิได้มีการใช้จ่ายบริโภคอุปโภคและเงินจำนวนนั้นได้นำไปลง ทุนเพื่อเพิ่มผลผลิตในระบบเศรษฐกิจด้วย แต่มิได้หมายความว่าผู้ที่ทำการออมเงินจะต้องเข้าไปจัดการลงทุนทำการผลิต สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้น ผู้ที่ทำการออมกับผู้ลงทุนไม่จำเป็นจะต้องเป็นบุคคลคนเดียวกัน และโดยปกติจะไม่ใช่บุคคลเดียวกันด้วย ในความหมายนี้เพียงแต่หมายถึงเงินที่ออมไว้นั้นต้องพร้อมที่จะนำไปลงทุน ประกอบธุรกิจได้โดยจะผ่านระบบการเงินของประเทศหรือสถาบันการเงินอื่นใดก็ได้
ดังนั้นพอสรุปได้ว่าเงินออมตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์หมายรวมถึงบรรดาเงิน ฝากในธนาคารหรือในสถาบันการเงินอื่น ๆ เช่น บริษัทเงินทุน บริษัทประกันชีวิตที่ประชาชนนำไปฝาก และจำนวนเงินส่วนที่ประชาชนนำไปซื้อหุ้นของกิจการต่าง ๆ(หลักทรัพย์) หรือแม้แต่ส่วนของเงินที่เอกชนนำออกให้กู้ยืมเป็นส่วนตัว (ไม่รวมการกู้ยืม เพื่อการบริโภค) ซึ่งจะเห็นว่าจำนวนเงินออมเหล่านี้ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนมืออยู่ในระบบ เศรษฐกิจส่วนรวมมิได้สูญหาย เพราะสถาบันการเงินที่รับฝากเงินออมก็จะนำเงินดังกล่าวออกให้กู้ยืม ผู้กู้ยืมเงินลงทุนก็จะเข้าดำเนินธุรกิจซื้อปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการผลิต เป็นรายได้ไปสู่เจ้าของปัจจัยการผลิต ซึ่งนำมาใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนหนึ่ง และเหลือเก็บออมไว้อีกส่วนหนึ่ง การหมุนเวียนของเงินออมมีลักษณะเป็นวงจรเช่นนี้ต่อ ๆ ไป ซึ่งต่างกับกรณีที่มีการเก็บเงินไว้กับตัวเองเฉย ๆ ไม่นำออกใช้จ่าย จำนวนเงินส่วนที่เก็บไว้นี้จะหลุดลอยออกไปจากระบบเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิงไม่ กลับเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอีกจนกว่าจะได้มีการใช้จ่ายสิ่งใดสิ่ง หนึ่งเกิดขึ้น การเก็บเงินในลักษณะนี้ตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Hoarding” ไม่ใช่ “Saving
การเก็บออมนี้มีประโยชน์มากเช่น
1. ช่วยให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวมีความมั่นคง
2. ช่วยให้สมาชิกในครอบครัวมีความมั่นคงทางจิตใจ เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถมีเงินสำรองไว้ใช้จ่าย
3. ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น โดยการนำไปลงทุนแบบที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือนำไปฝากธนาคาร
4. เงินออมในแต่ละครอบครัวที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะสนับสนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
เห็นประโยชน์ของการออมเงินแล้วก็หันมาออมเงินกันได้แล้วนะ
มีวินัยในการใช้จ่าย
ก่อให้เกิดรายได้และเป็นเงินออม
ช่วยซ่อมเสริมเศรษฐกิจตน
ส่งผลถึงความมั่นคงของประเทศ
Wednesday, January 18, 2012
//
Labels:
เงินออม
//
0
comments
//
ข้อ1. 95% ต้องไม่ใช่คุณ
มีผู้คนในโลกนี้ที่ไม่เคยบรรลุเป้าหมายทางการเงินจนชั่วชีวิต
มากถึง 95% ในยามเกษียณสิ่งเดียวที่พวกเขาเหล่านี้ฝากชีวิตที่เหลือไว้กับเงินบำนาญหรือระบบของสวัสดิการสังคม
ดังนั้น เพื่องป้องกันไม่ให้คุณตกอยุ่ในกลุ่มของคนเหล่านี้ ที่ไปไม่ถึงฝัน คุณต้องระมัดระวังไม่ให้ตัวคุณเองถูกสกัดกลั้นกลางทางด้วยอุปสรรคที่ทำให้คนสะดุดล้มมาแล้ว เพื่อความชนะความล้มเหลวที่มีโอกาสสูงมาก คุณจึงควรยึดมั่นในหลักการสำคัญๆ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายของเงินล้านอย่างยั่งยืน
ข้อ2. คุณทีสิทธิเลือกเสมอ
ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณได้มา คุณมีสิทธิที่จะเลือก " เก็บมันไว้ " " ใช้มันออกไป "หรือ " ใช้มันทำงานให้คุณ " เงินเป็นของคุณ คุณมีสิทธิจัดการกับมัน เป็นการง่ายเหลือแสนที่คุณจะใช้มันออกไปโดยไม่ได้อะไรคืนมาเลย
ข้อ3.หนี้สินคือตัวถ่วง
หากคุณมีบัตรเครดิตกองเป็นตั้ง คุณต้องรีบจัดการกับบัตรเครดิตส่วนเกินของคุณให้หมด จำไว้ให้ฝังใจว่า " หนี้สินคือก้อนหินที่คอยถ่วงคุณให้จมน้ำ" หากคุณจะมีหนี้สิน จงเลือกหนี้สินที่เกิดประโยชน์จริงๆ
ข้อ4. ให้เงินต่อเงิน
ถ้าคุณไม่มีเงินเลย จงเริ่มจากการออม หรือลงทุนอย่างน้อย 10% ของรายได้ ทำทันทีไม่ต้องรอให้มีเงินมากกว่านี้ สิ่งสำคัญคือหมั่นออมเพิ่มหรือลงทุนเพิ่มให้สม่ำเสมอทุกๆ เดือน จะเก็บไว้ที่ธนาคาร หรือซื้อกองทุนรวมเพิ่มทุกเดือน ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัว จ่ายตัวเองก่อนคนอื่น ทันทีที่มีรายได้ โอนเก็นเข้าบัญชีเลย สร้างเครื่องมือการออมได้ง่ายๆ สม่ำเสมอและเป็นอัตโนมัติ
ข้อ5. เขียนแผนให้เป็นลายลักษณ์อักษร
บอกกับตัวเองว่า ฉันจะรวย คงยังไม่พอ แผนที่อยู่ในใจใครจะอ่านออก คุณจะเริ่มต้นได้อย่างไรถ้าไม่รุ้ที่มาที่ไปของตัวเลข
ข้อ6. อย่าให้ความโลภบังตา
ความล้มเหลวที่คุณไปสู่เป้าหมายไม่สำเร็จ ยังไม่เจ็บปวดเท่าปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการที่คุณอยากรวยด้วยวิธีการที่ไร้คุณธรรม
ข้อ7. คุณเป็นนายของเงิน อย่าตกเป็นทาสของมัน
แต่คุณรู้นะว่ามันไม่ได้รับประกันความสุขเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้ว ความสุขที่แท้จริงในชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ขึ้นอยู่กับเงินหรือสิ่งที่เงินซื้อมาเพียงเท่านั้น
Read more
มีผู้คนในโลกนี้ที่ไม่เคยบรรลุเป้าหมายทางการเงินจนชั่วชีวิต
มากถึง 95% ในยามเกษียณสิ่งเดียวที่พวกเขาเหล่านี้ฝากชีวิตที่เหลือไว้กับเงินบำนาญหรือระบบของสวัสดิการสังคม
ดังนั้น เพื่องป้องกันไม่ให้คุณตกอยุ่ในกลุ่มของคนเหล่านี้ ที่ไปไม่ถึงฝัน คุณต้องระมัดระวังไม่ให้ตัวคุณเองถูกสกัดกลั้นกลางทางด้วยอุปสรรคที่ทำให้คนสะดุดล้มมาแล้ว เพื่อความชนะความล้มเหลวที่มีโอกาสสูงมาก คุณจึงควรยึดมั่นในหลักการสำคัญๆ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายของเงินล้านอย่างยั่งยืน
ข้อ2. คุณทีสิทธิเลือกเสมอ
ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณได้มา คุณมีสิทธิที่จะเลือก " เก็บมันไว้ " " ใช้มันออกไป "หรือ " ใช้มันทำงานให้คุณ " เงินเป็นของคุณ คุณมีสิทธิจัดการกับมัน เป็นการง่ายเหลือแสนที่คุณจะใช้มันออกไปโดยไม่ได้อะไรคืนมาเลย
ข้อ3.หนี้สินคือตัวถ่วง
หากคุณมีบัตรเครดิตกองเป็นตั้ง คุณต้องรีบจัดการกับบัตรเครดิตส่วนเกินของคุณให้หมด จำไว้ให้ฝังใจว่า " หนี้สินคือก้อนหินที่คอยถ่วงคุณให้จมน้ำ" หากคุณจะมีหนี้สิน จงเลือกหนี้สินที่เกิดประโยชน์จริงๆ
ข้อ4. ให้เงินต่อเงิน
ถ้าคุณไม่มีเงินเลย จงเริ่มจากการออม หรือลงทุนอย่างน้อย 10% ของรายได้ ทำทันทีไม่ต้องรอให้มีเงินมากกว่านี้ สิ่งสำคัญคือหมั่นออมเพิ่มหรือลงทุนเพิ่มให้สม่ำเสมอทุกๆ เดือน จะเก็บไว้ที่ธนาคาร หรือซื้อกองทุนรวมเพิ่มทุกเดือน ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัว จ่ายตัวเองก่อนคนอื่น ทันทีที่มีรายได้ โอนเก็นเข้าบัญชีเลย สร้างเครื่องมือการออมได้ง่ายๆ สม่ำเสมอและเป็นอัตโนมัติ
ข้อ5. เขียนแผนให้เป็นลายลักษณ์อักษร
บอกกับตัวเองว่า ฉันจะรวย คงยังไม่พอ แผนที่อยู่ในใจใครจะอ่านออก คุณจะเริ่มต้นได้อย่างไรถ้าไม่รุ้ที่มาที่ไปของตัวเลข
ข้อ6. อย่าให้ความโลภบังตา
ความล้มเหลวที่คุณไปสู่เป้าหมายไม่สำเร็จ ยังไม่เจ็บปวดเท่าปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการที่คุณอยากรวยด้วยวิธีการที่ไร้คุณธรรม
ข้อ7. คุณเป็นนายของเงิน อย่าตกเป็นทาสของมัน
แต่คุณรู้นะว่ามันไม่ได้รับประกันความสุขเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้ว ความสุขที่แท้จริงในชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ขึ้นอยู่กับเงินหรือสิ่งที่เงินซื้อมาเพียงเท่านั้น
Tuesday, January 17, 2012
//
Labels:
วิธีเก็บเงินให้ได้ล้าน
//
1 comments
//